การชุบเคลือบในสมัยก่อนเป็นการนำขี้เถ้าผสมน้ำมาทำการเคลือบ ในปัจจุบันวิวัฒนาการนำแร่ธรรมชาติมาผสมกับน้ำในการชุบเคลือบ มีส่วนประกอบ แร่ฟันม้า แร่ควอตซ์ หินปูน ทรายแก้ว และ น้ำ เมื่อเคลือบแล้วต้องทิ้งให้ผลิตภัณฑ์แห้ง และเช็ดก้นผลิตภัณฑ์ให้สะอาดก่อนเข้าเตาเผา ผลิตภัณฑ์ที่เคลือบเผาผ่านความร้อนอุณภูมิสูง วัตถุดิบเมื่อถึงจุดหลอมละลายชั้นของเคลือบจะกลายเป็นชั้นแก้วมันวาวติดอยู่กับผิวดิน เนื่องจากเคลือบมีสมบัติลื่นมือ สามารถทำความสะอาดง่ายกว่า ผิวดินที่มีลักษณะค่อนข้างหยาบเคลือบมีคุณสมบัติเป็นแก้วไม่ดูดซึมน้ำ และยังเพิ่มความแข็งแรงทนทานทำให้ภาชนะดินเผาไม่บิ่นง่ายเมื่อกระทบกันบ่อยๆ ขณะล้างทำความสะอาด และสามารถใส่ของเหลวได้โดยไม่รั่วซึม
การติดลายเซรามิคแบบสมัยใหม่ซึ่งธนบดีได้นำเทคนิคนี้มาใช้เป็นที่แรกของภาคเหนือปัจจุบัน ได้ถ่ายทอดวิธีนี้ไปยังสาธารณะชนให้ได้ทราบกรรมวิธีอย่างใกล้ชิด การตกแต่งลวดลายด้วยรูปลอกสีบนเคลือบ ซึ่งเป็นสีประเภทเดียวกับที่ใช้เขียนชามไก่ แต่ใช้การผลิตด้วยซิลค์สกรีนเพื่อให้ลวดลายคมชัดมากที่สุด การใช้งานด้วยการแช่รูปลอกบนฟองนี้เปียกแล้วนำไปติดบนผลิตภัณฑ์ที่เผาสุกตัวแล้วใช้ยางรีดเอาน้ำส่วนเกินออก เช็ดให้แห้ง และนำเข้าเตาเผาแบบไฟฟ้าอุณหภูมิ 750 องศาจะได้ผลิตภัณฑ์สีสวยติดทน ธนบดีได้นำเทคนิคมาใช้เป็นที่แรกของภาพเหนือตั้งแต่ปี 2533
การผลิตเซรามิคแบบปัจจุบัน เรียกว่าการเทน้ำดิน เริ่มจากการเตรียมแม่พิมพ์ปูนพลาสเตอร์แห้งที่มีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำ จากนั้นนำน้ำดินเข้มข้นที่เตรียมไว้แล้วลงในแม่พิมพ์ พิมพ์ก็จะดูดน้ำออกจากน้ำดินทำให้ดินเกาะผนังแม่พิมพ์หนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ความหนาตามที่ต้องการก็จะเทน้ำดินส่วนที่เหลือออกรอให้หมาดดินด้านในระร่อนออกจากแม่พิมพ์ได้เซรามิคเป็นชิ้น แม่พิมพ์แต่ละตัวมีอายุการใช้งาน 50-100 รอบขึ้นอยู่กับรายละเอียดของงาน
การปั้นด้วยเครื่องจิ๊กเกอร์ ใช้ระบบมอเตอร์หมุน และแม่พิมพ์ก็มีขาชามอยู่ในตัว มีใบมีดติดอยู่กับคันเหล็กสามารถควบคุมความหน้าได้เท่ากันทุกด้านและทุกใบจึงไม่จำเป็นจะต้องทำปากชามให้เป็นแบบเหลี่ยมเหมือนการปั้นแบบโบราณ กำลังการผลิตต่อวันอยู่ที่ 300 ใบ ขั้นตอนต่อมาคือการเช็ดแต่งและการเคลือบ เพื่อดูความเรียบร้อยทั่วไป แห้งแล้วจึงนำชามไปชุบในน้ำยาเคลือบซึ่งมีส่วนผสมของหินฟันม้าและหินควอทซ์ซึ่งเมื่อเผาแล้วจะกลายเป็นเนื้อแก้วเคลือบบนเนื้อเซรามิคให้เกิดความสวยงามและล้างทำความสะอาดง่าย ซึ่งเคลือบเราจะมี 2 แบบคือเคลือบแบบปัจจุบันที่ใช้แร่ดังกล่าว และการใช้เคลือบจากขี้เถ้าแกลบที่จะให้สีอมเขียวเป็นเคลือบแบบโบราณ จากนั้นนำชามไปเผาที่อุณหภูมิ 1,260 องศาเซลเซียสจนสุกตัว
การปั้นชามไก่แบบโบราณ ซึ่งแต่ก่อนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้จึงใช้ล้อจักรยานพอกด้วยปูนพลาสเตอร์ให้หนาเพื่อที่จะให้มีแรงเหวี่ยง การปั้นเริ่มจากการใส่พิมพ์ลงไปในแป้นหมุนแล้วทำดินให้เป็นแผ่นเหมือนโรตีแล้ววางลงในแม่พิมพ์จากนั้นใช้ไม้แบบโค้ง เรียกว่า ไม้ไกด์ จุ่มน้ำแล้วรีดให้ได้ความหนาตามที่ต้องการ จากนั้นตัดปากเอาดินส่วนที่เกินออก ทิ้งไว้ให้หมาดเพื่อจะนำมาต่อขาชาม ด้วยการขูดก้นชามด้านนอกให้เป็นรอเพื่อจะให้ขายึดกับตัวถ้วยได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นปั้นขาชามเป็นเส้นแล้วนำมาขดติดกับก้นถ้วย ใช้ผ้าชุบน้ำรีดขาถ้วยให้กลมและสูงมากพอเสร็จแล้วผึ่งไว้ให้แห้ง กำลังการผลิตต่อคนทำได้วันละประมาณ 30 ใบ แต่หากมีออร์เดอร์มากก็จะใช้คนสองคน โดยคนหนึ่งมีหน้าที่เหวี่ยงแป้นอีกคนเป็นคนปั้นก็จะเร็วขึ้นมากกว่าสองเท่า
ลักษณะพิเศษตามอย่างของชามไก่โบราณคือ ปากของชามจะไม่กลมสนิทแต่จะออกเป็นรูปแปดเหลี่ยม เนื่องจากการผลิตในสมัยโบราณไม่มีเครื่องจักร การควบคุมความหนาของชามทำได้ยากมาก หากเป็นแบบกลมเมื่อเผาแล้วก็จะบิดเบี้ยว จึงได้ทำโครงสร้างเป็นเหลี่ยมเพื่อเป็นตัวบังคับทรงไม่ให้เบี้ยวง่าย ส่วนที่สองคือขาของชามจะต้องสูงและบานออก เนื่องจากชาวจีนจะนิยมจับปากและขาชามเพื่อพุ้ยข้าวและข้าวต้ม ขาสูงจะช่วยลดไม่ให้ขาชามร้อนมาก และสุดท้ายคือลายเขียนไก่และดอกไม้จะต้องสีสดและลอยอยู่บนผิวเคลือบของชามไก่หรือเรียกว่าการวาดสีบนเคลือบจึงจะเป็นของแท้ ชามไก่ในยุคสุดท้ายหรือยุคที่มีการลดต้นทุนและตัดราคากันทำให้ชามไก่สีสันซีดจางลวดลายไม่สวยงาม จึงเริ่มเสื่อมความนิยมลงไปเรียกการวาดสีใต้เคลือบ แต่เดิมนั้นชามไก่ในประเทศจีนจะมีเพียง 2ขนาด คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว และ 6 นิ้ว ขนาด 8 นิ้วจะใช้กับผู้ใช้แรงงานที่ทานจุ ส่วนขนาด 6 นิ้วจะใช้กับบ้านเรือน และร้านอาหารทั่วไป
ห้องครัวโบราณของตระกูลธนบดีสกุล ที่รวบรวมเข้าของใช้ในอดีตที่หาดูได้ยากในสมัยปัจจุบัน เป็นการแสดงวิถีชีวิตของครอบครัวที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวล้านนาและชาวจีน เป็นการแสดงให้เห็นความเรียบง่ายของการใช้ชีวิตของอาปาอี้ ซิมหยู แซ่ฉิ่นและครอบครัว