วัดท้ายยอ

	วัดท้ายยอ ตั้งอยู่เลขที่ ๑๙ บ้านท้ายสระ หมู่ที่ ๘ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของจังหวัดสงขลาสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายต้น ๆ กรุงธนบุรี (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๑๑) ชื่อเดิมคือ "วัดคงคาวดี" แต่ชาวบ้านมักจะเรียกกันติดปากว่า "วัดท้ายเสาะ" ตามชื่อของหมู่บ้านเก่าแก่ของเกาะยอต่อมาชาวบ้านได้เรียกวัดแห่งนี้ว่า "วัดท้ายยอ" ตามชื่อของเกาะวัดท้ายยอมีโบราณวัตถุที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม อาทิ กุฏิเจ้าอาวาสที่เรียกว่า "กุฏิแบบเรือนไทยปั้นหยา" ซึ่งอายุประมาณ ๒๐๐ ปี หรือสร้างขึ้นในช่วงรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยเรือน ๓ หลัง สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่นภาคใต้ผสมผสานอิทธิพลจีน กุฏิแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะคือเสาเรือนของกุฏิจะไม่ฝังลงในดิน แต่จะตั้งอยู่บนตีนเสาซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างบ้านเรือนในภาคใต้ อีกทั้งการมุงหลังคาด้วยกระเบื้องเกาะยอและกระเบื้องลอนแบบเก่ามีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ คือเสาเรือนกุฏิจะไม่ฝังลงในดินแต่จะตั้งอยู่บนตีนเสา ซึ่งเป็นที่รองรับเสาอันเป็นลักษณะเฉพาะของบ้านชาวไทยในภาคใต้เท่านั้นนับว่างดงามและหาดูยากแล้วในสมัยปัจจุบันนี้ สำหรับประวัติการสร้างวัดท้ายยอนั้นไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าสร้างในสมัยใด แต่คาดว่าน่าจะเป็นวัดแรกของเกาะยอต่อได้รับบูรณปฏิสังขรณ์ในปี พ.ศ. ๒๓๑๑ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากนั้นแล้ววัดท้ายยอยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุควรค่าแก่การศึกษาและเรียนรู้ อาทิ บ่อน้ำโบราณ โรงเรือพระ สถูป หอระฆัง ตลอดถึงร่องรอยของท่าเรือโบราณ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของชาวเกาะยอ ด้านหลังของวัดท้ายยอเป็นที่ตั้งของเขาพิหารหรือเขาวิหาร ซึ่งประดิษฐานเจดีย์ทรงลังกาที่งดงามควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้สืบไป สำหรับกุฏิแบบเรือนไทยทรงปั้นหยาที่มีอายุกว่า ๒๐๐ ปีนั้น รูปแบบการสร้างตามสถาปัตยกรรมของภาคใต้ที่ถึงพร้อมด้วยมงคลสูตร และมาตราสูตรคือด้านหน้าหันออกสู่ทะเลสาบสงขลามีลานกว้างส่วนด้านหลังเป็นเขาเรียกว่าเขาเพหาร ซึ่งหมายถึงวิหารนั่นเอง ลักษณะเด่นของกุฏิเป็นเรือนหมู่ ๓ หลัง เรียกตามลักษณะมงคลสูตรว่าแบบพ่อแม่พาลูก แต่หากเป็นแบบ ๒ หลังเรียกว่าดาวเคียงเดือน สมาคมสถาปนิกสยามสันนิฐานว่าน่าจะสร้างในช่วงรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เนื่องจากพบว่ามีการใช้วัสดุกระเบื้องที่ขึ้นชื่อของเกาะยอซึ่งทำขึ้นโดยชาวจีน และเป็นนิยมแพร่หลายในสมัยนั้น โดยเฉพาะอาคารบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยของผู้มีฐานะ หรือมีอำนาจบารมี เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือกุฏิเจ้าอาวาส เพราะแต่เดิมในชนบทผู้นำท้องถิ่นด้านการปกครองดูแลลูกบ้านที่สำคัญก็คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนด้านบรรพชิตในวัดก็คือเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นการสร้างบ้านหรือกุฏิ จึงสร้างให้เฉพาะคนกลุ่มนี้ คนธรรมดาสามัญไม่นิยมสร้างบ้านแบบนี้กัน คำว่า "เรือนสูตร" หรือ "สูตรเรือน" และ "มงคลสูตร" ผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่าคนโบราณเชื่อว่าในการสร้างอาคารบ้านเรือน มี ๒ สาย คือสายสัมมาทิฐิ เช่น การสร้างบ้านที่อยู่อาศัยสร้างศาลา สร้างกุฏิ เป็นต้น ซึ่งจะออกหน้าจั่วก่อนหมายถึงจะเริ่มด้วยการสร้างจั่วก่อน ส่วนอื่นจึงน่าจะสอดรับกับภาษิตที่ว่ารักดีหามจั่ว  สายมิจฉาทิฐิ  เช่น  การสร้างโรงเรือน  เตาเผาสุรา  โรงบ่อนการพนัน จะออกเสาก่อนคือการเริ่มต้นด้วยการขุดหลุมลงเสาก่อน ซึ่งสอดรับกับภาษิตที่ว่ารักชั่วหามเสาด้วยเชื่อว่าจะมีความหนักแน่นในกิจการ นอกจากนั้นในทางมงคลสูตรยังเกี่ยวข้องกับการกำหนดวัน เดือน ปี และเวลาในการหาฤกษ์ยามที่เป็นมงคลและความเป็นสิริมงคลอื่น ๆ เช่น รวย มิ่ง เจริญ มั่งคั่ง มาเป็นหลักในการยกเสา  การสวดมนตร์ การไหว้พระภูมิเจ้าที่  การหันหน้าบ้านไปยังทิศมงคล การสร้างบ้านให้อยู่ในลักขณา "ลอยหวัน" ไม่สร้างเป็น "ขวางหวัน" รัศมีขององค์พระทรงศร(แสงอาทิตย์)เชื่อว่าเป็นมงคล คำว่าขวางก็ให้ความหมายในทาง "ขัดขวาง" ฟังแล้วก็ไม่เป็นมงคล  ในด้านมงคลสูตรได้กำหนดแม้แต่การเลือกไม้หรือวัสดุมาใช้ เช่น ไม้กอมาสร้างเป็นเสาบ้าน ความหมายก็คือจะแตกเป็นกอกอออกลูกออกหลานและให้เกิดสิ่งดี ๆ สู่บ้านเรือน และจะใช้ไม้นาคบุกทำเป็นบันไดด้วยความเชื่อถือเกี่ยวกับบันไดนาคที่มีเสียงคำว่านาคที่พ้องเสียงกัน และใช้ไม้กลิ่นหอมชื่นใจเปรียบเสมือนการต้อนรับเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความชุ่มชื่นใจ สำหรับกระเบื้องดินเผาไม่ว่าจะเป็นอิฐเผาหรือกระเบื้องหากนำมาสร้างกุฏิแล้วช่างจะกำหนดให้คุณภาพดีเลิศ และกระเบื้องที่นำมาใช้มุงหลังคาใช้ก็ของเกาะยอเอง เพราะว่ามีชื่อเสียงและให้รับความนิยมมาก จนมีคำกล่าวยืนยันว่า "ทิ้งทำหม้อ เกาะยอทำอ่าง หัวเขาดักโพงพาง บ่อยางทำเคย แม่เตยสานสาด" เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ มีการบูรณะพระวิหารพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎ์ธานีพระองค์ได้ทรงกำหนดให้ใช้กระเบื้องของเกาะยอในการมุงหลังคาพระวิหารพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎ์ธานี ที่กล่าวมานี้ล้วนแต่กำหนดการเป็นมงคลสูตร คือสูตรแห่งการเกิดมงคลในการสร้างอาคารบ้านเรือนอันจะส่งผลดี หรือเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของผู้อยู่อาศัยทั้งสิ้น      

โบราณสถาน/โบราณวัตถุ
	วัดท้ายยอมีโบราณสถานที่สำคัญ ๆ ประกอบด้วย เจดีย์บนเขาเพหารหรือวิหาร อุโบสถ หมู่กุฏิไม้ กุฏิแบบเรือนไทย บ่อน้ำโบราณและหอระฆัง สำหรับเจดีย์ทรงลังกาที่ประดิษฐานอยู่บนเขาพิหาร สันนิฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ จากหลักฐานบริเวณนี้น่าจะเป็นที่ตั้งของอุโบสถหลังเก่า ซึ่งต่อมาในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ได้ย้ายอุโบสถมาสร้างที่เชิงเขาด้านล่าง (หลังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน) และได้สร้างเจดีย์ครอบ"หลวงพ่อดำ" ซึ่งเป็นพระประธานของอุโบสถเดิมเอาไว้ เจดีย์นี้มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังก่ออิฐถือปูน มีลวดลายปูนปั้นประดับอันเป็นฝีมือช่างท้องถิ่นภาคใต้ และมีทางเข้าสู่คูหาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทางด้านทิศตะวันออก   
	เจดีย์ทรงลังกาวัดท้ายยอหรือทรงระฆัง อายุประมาณ ๒๔๐ ปี ตั้งอยู่บนเขาเพหาร (วิหาร) น่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนยอดเขาวิหารตรงบริเวณหลังวัดท้ายยอ ฐานบันไดขึ้นลง ๒ ข้าง สันนิษฐานกันว่าบนยอดเขาแต่เดิมนั้นเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถเก่าต่อมาช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ พระอุโบสถมีสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงได้มีการรื้อถอนอุโบสถและทำการก่อสร้างพระเจดีย์ครอบทับ ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงลังกา ก่อฐานสี่เหลี่ยมขนาดกว้างประมาณ ๙ เมตร ยาวประมาณ ๑๑ เมตร มีลานประทักษิณ ระเบียงลูกกรงกรุด้วยกระเบื้องปรุลายจีน มีการตกแต่งรอบ ๆ ฐานด้วยลายปูนปั้นที่สวยงาม ด้านนอกมียักษ์ ๒ ตน เฝ้าองค์เจดีย์ตามคตินิยมของชาวบ้านยักษ์ ๒ ตนนั้นเรียกว่าพ่อแก่ยักษ์ มีเรื่องเล่าต่อมาอย่างมุขปาฐกว่านอกจากเฝ้าองค์เจดีย์และพระพุทธองค์แล้ว ยังคอยดูแลช่วยเหลือความเป็นอยู่ของชาวเกาะยอให้มีความสุขสบาย ตลอดจนการประกอบอาชีพให้สำเร็จผล เช่น
๑. การปลูกผลไม้ถ้าต้องการให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ให้นำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา และขอพรให้ฝนตก แล้วให้ใช้มือบิดเขี้ยวให้ส่วนโค้งลงล่าง ฝนก็จะตกตามต้องการพืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะสมบูรณ์  
๒. อาชีพทำกระเบื้องดินเผาเป็นอาชีพหลักของชาวเกาะยอนานนับ ๑๐๐ ปี การทำกระเบื้องจำต้องใช้แสงแดดเพื่อตากกระเบื้องให้แห้งก่อนนำไปเผาให้สุกถ้าฝนตกมากเกินไปกระเบื้องไม่แห้งก็นำไปเผาไม่ได้จึงต้องขอพรจากพ่อแก่ยักษ์ให้ฝนหยุดตกโดยการบิดเขี้ยวพ่อแก่ยักษ์ให้โค้งขึ้น
๓.  การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งทางใจของชาวเกาะยอ
	กรมศิลปกรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเจดีย์บนยอดเขาพิหารเป็นโบราณสถานของชาติไว้เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๐ และได้บูรณะซ่อมแซมเจดีย์พร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์รอบองค์เจดีย์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๕ ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบอีกครั้ง 
	พระอุโบสถวัดท้ายยอเป็นอุโบสถก่ออิฐถือปูนแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๙ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ตั้งอยู่ในเขตกำแพงแก้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามความเชื่อในเรื่องทิศที่เป็นมงคล อุโบสถมีช่วงฐานเตี้ยผนังทึบหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาเป็นหลังคาชั้นเดียวต่อด้วยปีกนกรอบอาคารไม่มีเสาพาไล ภายในมีเสาร่วมในแถวละ ๔ ต้น เป็นเสาไม้ บริเวณตอนล่างของฐานกรุด้วยเซรามิคลายดอกสี่กลีบ ตัวอุโบสถมีบันไดทางเข้าด้านข้างทั้ง ๒ ช่อง ตรงแนวเดียวกับบันไดมีช่องหน้าต่างตรงด้านข้างและด้านหน้า ด้านละ ๓ ช่อง ตรงผนังใต้หน้าต่างทำช่องระบายอากาศรอบอาคาร โดยทำเป็นช่องประดับกระเบื้องปรุ หน้าบันมีไขราหน้าจั่ว ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย มีจารึกที่ฐานด้วยอักษรจีนและอักษรไทยว่า “อุบาสิกากิมแก้วสร้างไว้เมื่อ ศ.ก. ๑๒๓” (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๗) ด้านนอกพระอุโบสถมีใบเสมาตั้งอยู่บนฐานปัทม์มน ๒ ชั้นเตี้ย ๆ อุโบสถล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้วก่ออิฐถือปูน มีความกว้าง ๑๑ เมตรและยาว ๑๘ เมตร
	กุฏิเจ้าอาวาสเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเรือนไทยโบราณในวัดท้ายยอที่สร้างราว ๆ ๒๐๐ ปี มาแล้ว เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีรูปแบบและแบบแผนการก่อสร้างที่แสดงภูมิปัญญาท้องถิ่นของภาคใต้ เป็นเรือนไทยพุทธภาคใต้ สร้างกับไม้จริง หลังคาจั่ว มุงด้วยกระเบื้องของดินเผา ใต้ถุนสูง ประกอบด้วยเรือน ๓ หลัง มีชานไม้เชื่อมเรือนทั้ง ๓ หลังเข้าด้วยกัน ด้านหน้ามีบันไดเตี้ย ๆ เป็นทางขึ้น มีซุ้มประตูขวามือเป็นเรือนหลังเล็กขนาด  ๓  ห้อง  มีระเบียง ซ้ายมือเป็นเรือนอีกหลังหนึ่ง (เรือนครัว) สร้างขนานกัน สุดชานเป็นเรือนประธานหรือเรือนใหญ่สร้างขวางด้านสกัดของเรือนเล็ก     มีความยาวโดยประมาณ ๒๑ เมตร กุฏิเจ้าอาวาสของวัดท้ายยอถือเป็นการสร้างกุฏิตามหลัก "เรือนสูตร" หรือ "สูตรเรือน" ที่ถูกต้องตามหลักการ มงคลสูตร และมาตราสูตร นิยมสร้างกันแบบเฉพาะอาคารบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยของผู้มีฐานะ   มีอำนาจ เช่น กำนันหรือกุฏิเจ้าอาวาสเท่านั้น เพราะแต่เดิมในชนบทผู้นำท้องถิ่นด้านการปกครองดูแลลูกบ้านที่สำคัญก็คือกำนัน ส่วนด้านบรรพชิตในอารามก็คือเจ้าอาวาส เพราะฉะนั้นการสร้างบ้านหรือกุฏิแบบเรือนสูตร จึงนิยมสร้างให้เฉพาะคนกลุ่มนี้คนธรรมดาสามัญไม่นิยมสร้างบ้านแบบนี้ได้
	คำว่า "เรือนสูตร" หรือ "สูตรเรือน" และ "มงคลสูตร" ผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่าคนโบราณเชื่อว่าในการสร้างอาคารบ้านเรือน มี ๒ สาย คือสายสัมมาทิฐิ เช่น การสร้างบ้านที่อยู่อาศัย สร้างศาลา สร้างกุฏิ เป็นต้น จะออกจั่วก่อน หมายถึงจะเริ่มด้วยการสร้างจั่วก่อนส่วนอื่น จึงน่าจะสอดรับกับภาษิตที่ว่า "รักดีแบกจั่ว" ส่วนสายมิจฉาทิฐิ เช่น การสร้างโรงเรือน เตาเผาสุรา โรงบ่อนการพนัน จะออกเสาก่อน คือการเริ่มต้นด้วยการขุดหลุมลงเสาก่อน  ซึ่งสอดรับภาษิตที่ว่า "รักชั่วหามเสา" ด้วยเชื่อว่าจะมีความหนักแน่นในประกอบกิจการนั้น ๆ
	นอกจากนั้นในทางมงคลสูตรยังเกี่ยวข้องกับการกำหนดวันเดือนปี และเวลาในการหาฤกษ์ยามที่เป็นมงคลแล้วความเป็นสิริมงคลอื่น ๆ เช่น รวย มิ่ง เจริญ มาเป็นส่วนร่วมในการยกเสา มีการสวดมนตร์เพื่อเซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่     การหันหน้าบ้านไปยังทิศมงคล  การสร้างบ้านให้อยู่ในลักขณา "ลอยหวัน" ไม่สร้างเป็น "ขวางหวัน" รัศมีขององค์พระทรงศร (แสงอาทิตย์) เชื่อว่าเป็นมงคล คำว่า "ขวาง" ก็ให้ความหมายในทาง "ขัดขวาง" ฟังแล้วก็ไม่เป็นมงคล แม้แต่การเลือกไม้หรือวัสดุมาใช้ อย่างเช่น ไม้กอมาสร้างเป็นเสาบ้านความหมายก็คือจะแตกเป็นกอกอออกลูกออกหลานก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ   สู่บ้านเรือน และจะใช้ "ไม้นาคบุก" ทำเป็นบันไดด้วยความเชื่อถือเกี่ยวกับบันไดนาคซึ่งมีเสียงคำว่านาคที่พ้องเสียงกัน และใช้ไม้กลิ่นหอมชื่นใจเปรียบเสมือนการต้อนรับเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความชุ่มชื่นใจ
	กุฏิเรือนไทยเป็นกุฏิหมู่ ๓ หลัง เป็นกุฏิเจ้าอาวาส ๑ หลัง สำหรับพระภิกษุ ๒ หลังส่วนประกอบของการสร้างบ้านตามแบบเรือนสูตรมีดังต่อไปนี้
	เสาเรือน เป็นเสาไม้เนื้อแข็งตั้งอยู่บน "ตีนเสา" ที่ทำด้วยอิฐถือปูนเพื่อป้องกันไม่ให้เสาผุกร่อนก่อนเวลาอันควรจากความชื้นในดินที่เกิดจากน้ำฝนที่ตกชุกตลอดปี และช่วยป้องกันแมลงไม่ให้เกิดกินเสาเรือน และช่วยให้เคลื่อนย้ายเรือนทั้งหลังได้สะดวก
            ฝาเรือน เป็นฝาไม้เรียงกันเป็นแนวตั้งอย่างฝาสายบัว แต่ตีกรอบแบบลูกฟักอย่างฝาเรือนไทยภาคกลางหน้าต่างทำแบบเรือนไทยภาคใต้  โดยเจาะเป็นช่องเล็ก ๆ มีไม้ตีเป็นซี่ ๆ และมีบานหน้าต่าง ซึ่งนิยมเปิดเข้าข้างใน เพื่อระบายอากาศและรับแสงสว่าง
            หน้าจั่ว ทางภาคใต้เรียกว่า "หุ้มกลอง" ทำเป็นหน้าจั่วทึบส่วนที่ยื่นเลยหน้าจั่วออกไปใต้หลังคา ตีไม้ระแนงกันลมตีกระเบื้อง เรียก  "หน้าผ้า"  เชิงหน้าจั่วทำเป็นชายคาปีกนกกันฝนสาด มีชายคาพาไลรับด้วยไม้เท้าแขน และมีเสาตั้งรับขึ้นมาจากพื้นดิน
            พื้นเรือน ปูด้วยไม้กระดาน แบ่งเป็น  ๓  ระดับได้แก่ พื้นเรือน พื้นระเบียงต่ำกว่าพื้นเรือน และพื้นชานต่ำกว่าพื้นระเบียง
	สำหรับกระเบื้องดินเผาไม่ว่าจะเป็นอิฐเผาหรือกระเบื้อง ที่นำมาสร้างกุฏิหรือสิ่งก่อสร้างภายในวัดในแถบคาบสมุทรสทิงพระ นายช่างจะกำหนดให้คุณภาพดีเลิศและแหล่งที่ดีที่สุดคือของเกาะยอ จึงทำให้ชื่อเสียงของกระเบื้องดินเผาของเกาะยอเป็นที่นิยมกันมาก จนถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า "ทิ้งทำหม้อ เกาะยอทำอ่าง หัวเขาดักโพงพาง บ่อยางทำเคย บ่อเตยทำได้" แม้กระทั่งเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ได้มีการบูรณะพระวิหารพระธาตุไชยา พระองค์ก็ทรงกำหนดให้ใช้กระเบื้องของเกาะยอในการบูรณะ ทั้งหมดนี้ที่กล่าวมาล้วนแต่กำหนดเป็นมงคลสูตร คือ "สูตรแห่งการเกิดมงคล" ในการสร้างอาคารบ้านเรือนเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยทั้งสิ้น
	บ่อน้ำพิบูลสงครามหรือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เกาะยอ เป็นบ่อน้ำที่สำคัญบ่อหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ บ่อที่ชาวเกาะยอใช้เพื่อการดำรงชีพเพราะคราใดที่ชุมชนขาดแคลนน้ำฝน ก็สามารถมาเอาน้ำที่บ่อไปใช้กินใช้อาบ และชาวบ้านยังเชื่อกันอีกว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนน้ำมนต์ ใช้กินใช้ดื่มดังปรากฏในหนังสือเล่าเรื่องเกาะยอเป็นคำกลอน ความตอนหนึ่งว่า "ถึงบ่องอจะขอเล่าเรื่องราวบ่อ ที่เกิดก่อสิ่งดีงามตามท้องถิ่น อยู่เนินเขาแต่น้ำปรี่รี่ไหลรินเดิมบ่อดินมีต้นงอก่อชื่อมา เป็นบ่อที่สมเด็จ-เจ้าเขากุฏิ สิ่งศักดิ์สิทธ์สูงสุดลงมาหา ใช้อาบดื่มชาวบ้านปลื้มสุดศรัทธา ให้สมยาบ่อสมเด็จเจ้ากล่าวทิดทูน บ่อสองชื่อคือของดีที่ชาวเกาะ ทำยาก็เชื่อโรคร้ายจะหายสูญ ทำน้ำมนต์ก็ขลังดีทวีคูณคือความเชื่อที่เกื้อกูลเป็นตำนาน" 

สถานที่จัดเก็บต้นฉบับ