การเผาเครื่องปั้นดินเผาของเกาะเกร็ดนั้น ไม่มีเตาเผาบนเกาะเกร็ดแล้ว ช่างปั้นบนเกาะจะต้องนำเครื่องปั้นดินเผาลงเรือ และไปยังเตาเผาบริเวณละแวกเกาะเกร็ด สาเหตุของการที่เกาะเกร็ดไม่มีเตาเผาแล้วก็คือ เรื่องของระดับน้ำและอุทกภัย ที่ทำให้เตาเผาเสียหายและไม่สามารถเผาได้ การเผาเครื่องปั้นดินเผาของเกาะเกร็ดนั้น มีเอกลักษณ์ในส่วนที่เครื่องปั้นดินเผานั้น ไม่ได้มีแค่การเผาแดงเพียงอย่างเดียว แต่มีการเผาดำและเผาเทา ทำให้เครื่องปั้นดินเผาที่ออกมา มีความแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขั้นตอนในการเผานั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ การเผาเครื่องปั้นดินเผาจะใช้เตาฟืน ไม่ใช้เตาไฟฟ้า โดยไฟที่ใช้ในการเผาจะมีอุณหภูมิประมาณ 400 องศาเซลเซียส และใช้เวลาในการเผาถึง 4 วัน โดยวันแรกใช้ไฟลุ่ม คือใช้ไฟอ่อนก่อน และค่อยๆเร่งไฟขึ้นในวันถัดๆไป ในกระบวนการเผานั้นค่อนข้างสำคัญ เพราะจะทำให้เครื่องปั้นดินเผาแข็งแรงและทำให้สีสม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องสีของเครื่องปั้นดินเผานั้น ที่บ้านธาตุดินสามารถเผาออกมาได้ 3 สี ได้แก่ สีแดง, สีดำ, สีเทา ดินเหนียวธรรมดา เผาสุกแล้วจะเป็น "สีแดง" ส่วน "สีดำ" จะเกิดจากการเผาซ้ำ จากดินที่สุกเป็นสีแดงแล้ว จะนำมาเผากับขี้เลื่อยดิบจากไม้เนื้อแข็ง ทำให้เกิดคาร์บอน แล้วจะค่อยๆดูดซึมเข้าไปจนดำถึงเนื้อใน และสุดท้าย "สีเทา" เกิดจากการเผาสีแดงแล้วดินสุกไม่เท่ากัน โดนความร้อนไม่เท่ากัน เมื่อนำมาเผาดำ ดินก็ดูดความร้อนเข้าไปไม่เท่ากัน สีจึงออกมาเป็นสีเทา
การเลือกดิน ดินที่ใช้ในการปั้นนั้นมาจากสามจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยา ดินจะผสม "ผงเทาคัม" เพื่อความเหนียว รู้จักกับดิน ดินที่ซื้อมาในตอนแรก รูปแบบของดินจะอัดเป็นแท่งและห่อด้วยพลาสติก ผิวดินที่ติดกับพลาสติกจะมีความแข็งกว่าดินด้านในที่ไม่ติดกับพลาสติก ขั้นตอนในการปั้น 1. เริ่มจากการตัดดินออกจากแท่งโดยใช้ลวดที่ขึงไว้ตัดออกมาเป็นก้อน ความหนาประมาณ 2 นิ้ว (ดินที่ตัดมาแล้วยังไม่ใช้ให้เอาผ้าชุบน้ำชื้นๆ คลุมดินไว้เพื่อไม่ให้ดินแข็งตัวและแตก) 2. นำดินมาวางบนเครื่องโม่ดิน โดยวางไว้ตรงกึ่งกลาง 3. ชุบน้ำที่มือพอหมาดๆแล้วเริ่มทำการนวดดิน โดยการนวดดินนั้น จะทำให้เนื้อดินเข้ากันและเป็นเนื้อเดียวกัน และทำการกล่อมดินหรือควบคุมดิน เพื่อให้ดินนิ่ง 4. การนวดดินคือการใช้มือที่ชุบน้ำหมาดๆฉีกเนื้อดินออกและบีบเข้ามาใหม่จนเนื้อดินมีความเนียน นิ่มลงและสมูท มากขึ้น 5. จากนั้นเริ่มจินตนาการว่าเราจะปั้นดินเป็นรูปทรงอะไร เป็นภาชนะอะไร 6. ปั้นดินให้เป็นไปตามรูปทรงที่ต้องการ ด้วยการใช้นิ้วโป้ง 2 ข้าง กดดินเข้าไปเพื่อให้ดินติดแน่นกับแป้นมากยิ่งขึ้น แล้วประคองดินให้เป็นไปตามรูปทรงที่ต้องการ 7. การปั้นในส่วนฐานนั้น จะต้องให้ฐานมีความหนาไม่เกินกว่า 1 เซนติเมตรและบางไม่เกินครึ่งเซนติเมตร เนื่องจากขั้นตอนสุดท้ายนั้นจะต้องใช้ลวดในการตัดภาชนะออกจากแป้น จะยิ่งทำให้ก้นภาชนะบางลงไปอีก 8. เมื่อได้ฐานของภาชนะแล้ว ให้เรากอดดินเข้ามาที่เดิม เพื่อขึ้นรูป โดยการวางนิ้ว ด้านใน 2 นิ้ว ด้านนอก 2 นิ้ว และด้านบน 1 นิ้ว และใช้มือทั้งสองบีบยกดินขึ้นมาให้เป็นภาชนะ (ลากดินขึ้นให้รูป) 9. ระหว่างที่ปั้นนั้นควรใช้ฟองน้ำซับน้ำที่อยู่ข้างในภาชนะให้ได้มากที่สุด เนื่องจากระหว่างการปั้นนั้น จะมีน้ำที่มือเราเข้าไปเพิ่มและทำให้ดินแฉะมากเกินไป 10. ในการปั้นขึ้นรูปภาชนะ หากต้องการปากเล็กใช้ใช้มือขวาดันและมือซ้ายรองด้านในและดันไปพร้อมๆกัน แต่หากต้องการเอาด้านในออกให้เอานิ้วนางกะให้ตรงอยู่ระหว่างนิ้วแล้วดันออกมา 11. หลังจากได้รูปทรงภาชนะที่ต้องการแล้ว การนำภาชนะออกจากแป้น จะต้องใช้ลวดในการตัดดินในส่วนฐาน โดยลากเส้นเข้าหาตัวเอง และหยุดการหมุนของแป้นทันที เพื่อไม่ให้ภาชนะเหวี่ยงออกไปจากแป้น 12. ใช้เหล็กเจี๊ยะในการแซะฐานภาชนะออกมาและวางตากไว้ให้แห้ง พอแข็งตัว เพื่อไปเข้าขั้นตอนต่อไป tips : การนวดดินและขึ้นรูปดินไม่ควรทำเกิน 3 ครั้ง เพราะจะทำให้ดินแห้งและหลุดออกจากแป้น ทำให้ต้องเปลี่ยนเป็นดินก้อนใหม่ tips2 : การนวดดินควรวางขาและแขน ตั้งฉากกัน เพื่อให้มีน้ำหนักในการนวดดินและสามารถควบคุมดินได้ เนื่องจากดินนั้นมีความแข็งมาก tips3 : ในการขึ้นรูปทรงภาชนะ นอกจากนั้นยังมีการใช้เหล็กเจี๊ยะแนบด้านข้าง ช่วยในการขึ้นทรงและทำให้ผิวภาชนะเนียน ซึ่งการขึ้นทรงภาชนะต้องอาศัยประสบการณ์และจินตนาการในการทำ